กรม สบส.แจงการทำ IVF ต้องทำในคู่สามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย
กรม สบส. แจงการรับบริการเด็กหลอดแก้ว(IVF) จะต้องเป็นคู่สามีภริยาที่มีการจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย ย้ำสถานพยาบาลทุกแห่งต้องประเมินผู้รับบริการอย่างเข้มงวด เพื่อประโยชน์ต่อผู้รับบริการ และป้องกันมิให้เกิดการหาผลประโยชน์จากเด็ก เพื่อเป็นการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนด
จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล ถึงนักแสดงหญิงรายหนึ่งซึ่งมีการให้สัมภาษณ์ว่าตนเคยผ่านการทำ IVF มาถึง 4 ครั้ง โดยไม่ได้มีการจดทะเบียนสมรสกับสามี จนทำให้เกิดข้อสงสัยว่าการทำ IVF จะต้องมีการจดทะเบียนสมรสหรือไม่ นั้น
ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. ให้สัมภาษณ์ว่า ในสภาวะสังคมปัจจุบันที่หลายครอบครัวประสบปัญหาภาวะ “มีบุตรยาก” เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ถือเป็นความหวังในการช่วยให้ครอบครัวเหล่านี้ได้มีบุตรเพื่อการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ด้วยการนำไข่และอสุจิมาผสมกัน ให้มีการปฏิสนธิภายนอกร่างกายเพื่อให้เกิดตัวอ่อน แล้วนำตัวอ่อนย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูกของภริยาเพื่อให้เกิดการฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ต่อไป ซึ่งในการขอรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ทั้งในส่วนของผสมเทียมและเด็กหลอดแก้วในสถานพยาบาลไทยนั้น พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 กำหนดให้จะต้องกระทำในสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ซึ่งปัจจุบันมี 115 แห่ง และต้องกระทำในคู่สามีภริยาที่มีการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศและกฎหมายไทยให้การรับรองเท่านั้น ไม่สามารถให้คู่สามีภริยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกระทำได้ ซึ่งแพทย์ผู้ให้บริการจะต้องมีการประเมินความพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ สภาพแวดล้อมก่อนให้บริการ เช่น ข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ปัจจัยด้านครอบครัว เศรษฐานะ อาชีพ กรณีที่พบความผิดปกติทางด้านสภาพจิตใจต้องผ่านการประเมินจากจิตแพทย์เพิ่มเติม ซึ่งการประเมินผู้รับบริการตามที่กฎหมายกำหนดนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อตัวผู้รับบริการในการช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนดอีกด้วย
ทั้งนี้ กรม สบส.ขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบกิจการ และผู้ดำเนินการสถานพยาบาลทุกแห่งกวดขันการให้บริการเทคโนโลยีช่วยทางการแพทย์ซึ่งอยู่ในการดูแลของตนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัด มีการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้รับบริการถึงเงื่อนไขในการรับบริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ในประเทศไทย หากสถานพยาบาลมีการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และร่วมเป็นหูเป็นตาให้กับภาครัฐ ย่อมป้องปรามมิให้เกิดการกระทำผิด และขจัดมิให้เกิดการลักลอบเป็นเอเจนซี่ หรือนายหน้าชักชวนให้มีการนำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมาย และศีลธรรม หากมีข้อสงสัย หรือต้องการคำปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่ กลุ่มคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรม สบส. หมายเลขโทรศัพท์ 0 2193 7000