กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 0 2193 7000

b

 

          เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนหลายคนต่างหาวิธีดับร้อนที่แตกต่างกันไป เดินทางไปตากแอร์เย็นๆ บางคนนิยมไปกินอาหารนอกบ้าน หรือทำอาหารกินในบ้าน สิ่งที่ควรระวังคืออาหารเป็นพิษในช่วงหน้าร้อนที่อาหารส่วนใหญ่มีโอกาสเสียง่าย หากกินโดยไม่ทันระวัง อาจทำให้ร่างกายได้รับเชื้อได้

          อาหารเป็นพิษเกิดจากการกินอาหารหรือนำที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส สารพิษจากพืชและสัตว์เข้าไป ทำให้ร่างกายเกิดอาการอาเจียน ปวดท้อง ถ่ายเหลว ปวดเมื่อยเนื้อตัว มีไข ปวดศีรษะ

fdccae553098d14decf523b65d0b3915

ความดันโลหิตสูง หนึ่งในโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โรคนี้ได้ชื่อว่าเป็น "ฆาตกรเงียบ" และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการใด ๆ จนกว่าจะสายเกินแก้ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ วิงเวียน หรือเหนื่อยง่ายผิดปกติ และหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา ยังเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงที่ตามมา เช่น อัมพฤกษ์-อัมพาต โรคหัวใจ และโรคไตเรื้อรังอีกด้วย

63986d80f243d67f4da4683c34a942d2

ฝุ่น PM 2.5 มีแหล่งกำเนิดจากหลายๆ ปัจจัย เช่น การเผาไหม้จากยานพาหนะ, โรงงาน, การเผาป่า,การก่อสร้าง ซึ่งฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วย   ตาเปล่า ดังนั้นเมื่อหายใจเข้าไป สามารถเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ ทำให้อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรงตามมา เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และอาจกระทบต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะ   ในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ ดังนั้นเราสามารถรับมือและป้องกันฝุ่น PM 2.5 ในชีวิตประจำวัน ได้ดังนี้

5

การจมน้ำ เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยวัย 5-14 ปี โดยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2557 – 2566) มีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำถึง 36,503 คน หรือวันละกว่า 10 คน ซึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ถึง 6,693 คน สาเหตุหลักจากการขาดทักษะการเอาชีวิตรอด การช่วยเหลือที่ไม่ถูกวิธี และการเล่นน้ำ โดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งปัญหานี้สามารถป้องกันได้ด้วยการสอนให้เด็กว่ายน้ำเป็น สร้างความตระหนักถึงอันตราย และการเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

“ว่ายน้ำเป็น” ทักษะชีวิตที่จำเป็น

เด็กในช่วงวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นและชอบสำรวจสิ่งใหม่ ๆ แต่ยังขาดทักษะการประเมินความเสี่ยง การว่ายน้ำจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยชีวิตในยามฉุกเฉิน โดยการเริ่มสอนว่ายน้ำ ควรให้เด็กเริ่มเรียนว่ายน้ำ ตั้งแต่อายุ 4-5 ปี ภายใต้การดูแลของผู้ฝึกสอนที่มีความเชี่ยวชาญ ฝึกสม่ำเสมอเพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับน้ำ  ฝึกในสถานที่ที่ได้มาตรฐาน มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต และมีผู้ดูแลที่ผ่านการอบรม

“เห็นภัย” ตระหนักถึงความเสี่ยงการจมน้ำของเด็ก

  • เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักจะจมน้ำจากการที่ทรงตัวไม่ดี ทำให้ศีรษะทิ่มลงไปในน้ำได้ง่าย ซึ่งพบว่าเด็ก ในกลุ่มนี้ มักจมน้ำในแหล่งน้ำในบ้าน เช่น ถังน้ำ โอ่งน้ำ หรือกะละมัง
  • เด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป เด็กในวัยนี้ เริ่มเดินออกจากบ้านได้ และพบแหล่งน้ำที่อาจเป็นอันตรายใกล้บ้าน เช่น คูน้ำ บ่อน้ำ หรือแหล่งน้ำอื่น ๆ โดยผู้ดูแลเองก็อาจไม่ทราบถึงอันตรายจากแหล่งน้ำเหล่านี้

 “รู้วิธีรับมือ” คำแนะนำสำหรับผู้ปกครอง

  • สำรวจแหล่งน้ำภายในบ้านและบริเวณใกล้เคียง เช่น คูน้ำ บ่อน้ำ หรือรางระบายน้ำ เพื่อหาจุดที่เป็นอันตราย
  • จัดการพื้นที่เสี่ยง เช่น ทำรั้วรอบสระน้ำหรือแหล่งน้ำที่อาจเป็นอันตราย ติดป้ายคำเตือน ปักธงสัญลักษณ์แสดงพื้นที่อันตราย และจัดให้มีอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินไว้บริเวณแหล่งน้ำเสี่ยง
  • ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดขณะเล่นน้ำ ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำหรืออยู่ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง
  • สอนให้เด็กรู้จักการสวมเสื้อชูชีพทุกครั้งเมื่อเล่นน้ำหรือเดินทางทางน้ำ
  • ให้เด็กยืนรอให้เรือจอดเทียบท่าอย่างปลอดภัยก่อนที่จะขึ้นหรือลงจากเรือ
  • อ่านและปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่ท่องเที่ยวทางน้ำอย่างเคร่งครัด
  • ให้การช่วยเหลือฉุกเฉินตามหลัก "ตะโกน โยน ยื่น" โดยตะโกนขอความช่วยเหลือให้คนรอบข้างมาช่วย ระบุตำแหน่งเด็กให้ชัดเจน โยนสิ่งของที่สามารถลอยน้ำได้ให้เด็กจับ เช่น ห่วงชูชีพ ถังแกลลอนเปล่า และยื่นอุปกรณ์ที่ช่วยดึงเด็กขึ้นจากน้ำ เช่น ไม้ยาว เชือก ผ้าหรือเสื้อที่ผูกต่อกัน รีบนำเด็กขึ้นจากน้ำ และโทรแจ้งหน่วยกู้ชีพ เพื่อให้เด็กได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและปลอดภัย

ทุกชีวิตมีค่า การป้องกันเด็กจมน้ำ จำเป็นต้องอาศัยการสอนทักษะการว่ายน้ำ การสร้างความตระหนักถึงอันตราย และการเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุฉุกเฉิน การป้องกันอย่างจริงจังจะช่วยลดความเสี่ยงและการเสียชีวิตจากการจมน้ำ เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี

 

แหล่งข้อมูล : สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

73116ac01da5a5ca5fc9142218be6ac0

โลว์คาร์บ (Low-Carb) คือ การจำกัดการกินคาร์โบไฮเดรตต่อวัน โดยกินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ต่ำ เพื่อลดปริมาณกลูโคสในกระแสเลือด ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันที่เก็บไว้มาเป็นพลังงานแทน นำไปสู่การช่วยลดน้ำหนัก ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และลดความเสี่ยงจากโรค NCDs หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ ดังนั้นการกินแบบโลว์คาร์บจึงเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน และการกินแบบโลว์คาร์บเพื่อสุขภาพดี สามารถทำได้ดังนี้

73f13c615d78a467cbe3e4781ac86e95

อาหารรสเค็ม อาจเป็นเมนูโปรดของใครหลายคน แต่รู้หรือไม่ว่า รสชาติที่จัดจ้านและเค็มสุด ๆ มักทำให้เพลิดเพลินจนลืมคำนึงถึงผลกระทบที่ตามมา โดยเฉพาะการกินอาหารที่มีโซเดียมในปริมาณที่มากเกินไป อาจนำไปสู่โรคร้ายต่าง ๆ จากความชอบส่วนตัว อาจกลายเป็นโรคประจำตัวในระยะยาวได้

อาหารเค็มจัด เกี่ยวข้องกับโซเดียมอย่างไร ?

  โซเดียม เป็นหนึ่งในเกลือแร่ที่สําคัญในร่างกาย ซึ่งจะได้รับจากการกินอาหารเป็นหลักในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากได้รับมากเกินไป จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยไม่ควรกินเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันหรือประมาณ 1 ช้อนชา และถ้าหากเปลี่ยนเป็นน้ำปลา ร่างกายก็ไม่ควรได้รับน้ำปลาเกิน 4 ช้อนชาต่อวัน  

1429cb85707cb0df8788f2470255f378

คาร์โบไฮเดรต เป็น 1 ในอาหารหลัก 5 หมู่ พบมากในอาหารจำพวก ข้าว แป้ง น้ำตาล และพืชหัว ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญสำหรับร่างกาย โดยช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์สมอง และระบบประสาท ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การกินอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และขาดการออกกำลังกาย อาจทำให้พลังงานส่วนเกินถูกแปรสภาพเป็นไขมันสะสม จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ในระยะยาวได้ ดังนั้น การเลือกกินคาร์โบไฮเดรตที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญ

64944735a19e3726e8f0abc38299bd1e

ไขมัน เป็นสารอาหารหลักที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยดูดซึมวิตามิน A D E และ K และยังช่วยในการสร้างฮอร์โมนบางชนิด เราควรได้รับพลังงานจากไขมัน 20-30% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันคือ ผู้หญิงประมาณ 1500 - 2000 แคลอรี และของผู้ชายประมาณ 2000 - 2500 แคลอรี แต่การกินไขมันมากเกินไป อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น การเลือกกินไขมันอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันโรคและเสริมสร้างสุขภาพที่ดี โดยมีข้อแนะนำในการเลือกกินไขมันอย่างถูกต้องและได้ประโยชน์ ดังนี้

8af19b1e11552043d437070e2781bbb0

การมีความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเรื่องการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการคุมกำเนิด อาจส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจในระยะยาว เช่น การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ให้ถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี มีสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ “ความเชื่อผิด ๆ เรื่องเพศสัมพันธ์” ที่ควรหลีกเลี่ยง ดังนี้

 

หน้าที่ 1 จาก 4

Save
Cookies user preferences
We use cookies to ensure you to get the best experience on our website. If you decline the use of cookies, this website may not function as expected.
ตกลง
ปฏิเสธ
Read more
Functional
Tools used to give you more features when navigating on the website, this can include social sharing.
AddThis
ตกลง
ปฏิเสธ
Analytics
Tools used to analyze the data to measure the effectiveness of a website and to understand how it works.
Google Analytics
ตกลง
ปฏิเสธ