กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 0 2193 7000

กรม สบส.ออกประกาศคุมมาตรฐานแล็บตรวจโควิด 19 ในคลินิกทั่วไทย

1618381282805

        กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ออกประกาศคุมมาตรฐานห้องปฏิบัติการตรวจคัดกรองโรคโควิด 19 ในคลินิกทั่วประเทศ ร่วมคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานถูกต้องตามกฎหมายกำหนด 

กรม สบส.เตือนภัยโฆษณาจองวัคซีนโควิด 19 ผ่านกลุ่มไลน์ Qinsong Group

.

        กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เตือนภัยโฆษณาชักชวนจองวัคซีนโควิด 19 ผ่านกลุ่มไลน์ Qinsong Group ชี้เข้าข่ายโฆษณาโอ้อวดเกินจริงเป็นอันตรายต่อทั้งสุขภาพ และทรัพย์สินของประชาชน แนะผู้ต้องการรับวัคซีนโควิด 19 เพิ่มไลน์ “หมอพร้อม” เพื่อติดตามข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด 19 ที่ถูกต้องจากภาครัฐ
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ตามที่ รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการจองและสั่งซื้อวัคซีนโควิด 19 จากบริษัทซิโนแวค ในระยะที่ 1 จำนวน 2 ล้านโดส กระจายฉีดใน 13 จังหวัดที่เป็นพื้นที่ระบาดและ 5 จังหวัดพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ และในระยะต่อไปจะมีวัคซีนของแอสตร้าเซเนก้า ซึ่งผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซเอนส์ จำกัด มาเพิ่มเพื่อฉีดให้แก่ประชาชนทุกคนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ภายในปี 2564 แต่ก็อาจจะมีประชาชนบางรายที่ยังไม่ทราบถึงข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด 19 ดังกล่าว ทำให้มีผู้ฉกฉวยโอกาสโฆษณาชักชวนประชาชนให้จองบริการฉีกวัคซีนโควิด 19 กับตน ซึ่งการกระทำดังกล่าวก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจากวัคซีนที่ยังไม่ดำเนินการรับรอง และเป็นการสิ้นเปลืองเงินทองโดยมิจำเป็น ด้วยการที่รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนทุกคนได้รับวัคซีนโควิด 19 ฟรีอยู่แล้ว
        นายแพทย์ธเรศฯ กล่าวต่อว่า ซึ่งล่าสุดกรม สบส.ก็พบเบาะแสการเปิดจองวัคซีนโควิด 19 ผ่านสื่อโซเชียล ในกลุ่มไลน์ Qinsong Group ซึ่งมีการอวดอ้างว่าวัคซีนของตนนั้นมีประสิทธิภาพในการต่อต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ และสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ตนจึงมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรม สบส.เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงแหล่งที่มาของกลุ่มไลน์ดังกล่าว จากการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่ฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้นพบว่าข้อมูลการเปิดจองวัตซีนโควิดของกลุ่มไลน์ Qinsong Group เป็นข่าวปลอม (Fake News) อีกทั้งกลุ่มไลน์ดังกล่าวมิได้มีการจัดตั้งในประเทศไทย แต่หากกรม สบส.ตรวจพบว่าสถานพยาบาลเอกชนแห่งใดในประเทศไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มไลน์ดังกล่าว จะดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายโดยทันที ซึ่งการเปิดจองวัคซีนโควิด 19 และโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณว่าวัคซีนของตนนั้นสามารถสร้างถูมิคุ้มกัน 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับนั้น เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 ในมาตรา 38 วรรค 1 ฐานไม่ขออนุมัติและได้รับอนุมัติให้โฆษณา ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะระงับการโฆษณา และมาตรา 38 วรรค 2 ฐานโฆษณาในลักษณะอันเป็นเท็จ โอ้อวดเกินความจริง และน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับการประกอบกิจการสถานพยาบาล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะระงับการโฆษณา
        ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดทำแอปพลิเคชั่นไลน์ (Line) “หมอพร้อม” เพื่อรองรับการให้บริการวัคซีน ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและหน่วยบริการ ในการลงทะเบียนผู้รับวัคซีน ติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ติดตามประเมินผลการให้วัคซีนจากหน่วยบริการทั่วประเทศได้อย่างครอบคลุม และเป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารกับประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ต้องการรับวัคซีนโควิด 19 กดเพิ่ม “หมอพร้อม” เป็นเพื่อนในไลน์ เพื่อตรวจสอบรายชื่อผู้ได้รับวัคซีน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้นำรายชื่อกลุ่มเป้าหมายแรกในการรับวัคซีนเข้าสู่ระบบหมอพร้อมแล้ว หากมีรายชื่อในระบบจะแสดงหน้าจอให้กดยืนยันการรับวัคซีน จากนั้นจะมีแบบประเมินคัดกรองก่อนรับวัคซีน เข้าสู่การนัดหมาย โดยสามารถเลือกสถานพยาบาล วันและเวลาในการรับวัคซีน 

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดรับสมัครแข่งขันเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ จำนวน 11 ตำแหน่ง 25 อัตรา สมัครทางเว็บไซต์ https://hss.thaijobjob.com/ ตั้งแต่วันที่ 1 - 29 เมษายน 2564

n52

กรม สบส.ชี้แจง อสม.ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นเพียงจิตอาสา ช่วยดูแลสุขภาพของประชาชน

caff22c50bc9596b38e431065ca0b42bf_12932644_210326

        กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงกรณีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. เข้าสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น สามารถกระทำได้ เนื่องจาก อสม.มิได้เป็นข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น และไม่ได้รับเงินเดือนประจำ แต่ได้รับค่าป่วยการจากทางราชการ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น
        จากกรณีที่มีการตั้งคำถามว่า อสม.ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติการลือกตั้งสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 มาตรา 50(12) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งเงินเดือน และมาตรา 50(14) เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ หรือไม่ ตามที่ปรากฎในสื่อมวลชน
        นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าว กรม สบส. ขอชี้แจงว่า ตามระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน พ.ศ.2554 ข้อ 3 อสม. หมายถึงบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกจากหมู่บ้านหรือชุมชน และผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรฝึกอบรมมาตรฐานอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านที่คณะกรรมกลางกำหนด และตามข้อ 22 ให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดดำเนินการขึ้นทะเบียนเป็น อสม.พร้อมออกบัตรประจำตัว โดย อสม. จะมีหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพในท้องถิ่นและชุมชน ดูแลผู้สูงอายุ คนพิการ ดูแลผู้ป่วยและเฝ้าระวังโรคในชุมชน และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 เห็นชอบตามยุทธศาสตร์และแผนงานเสริมสร้างรายได้พัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่งคงทางสังคม โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเชิงรุก และกระทรวงสาธารณสุขได้ใช้ข้อบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสิทธิได้รับเงินค่าป่วยการในการปฏิบัติหน้าที่ของ อสม. พ.ศ.2560 โดยข้อ 3 ค่าป่วยการ หมายถึงเงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ อสม.เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่โดยมีหลักเกณฑ์ คือ ต้องมีระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่แน่นอนอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์ หรืออย่างน้อย 4 วันต่อเดือนในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย และต้องมีการปฏิบัติงานจริง มีการรายงานผลปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด รวมถึงเข้าร่วมประชุมและอบรมเพิ่มพูนความรู้อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน
        จากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น อสม.ถือเป็นเพียงผู้มีจิตอาสา ที่ได้รับการคัดเลือกจากหมู่บ้านหรือชุมชน จึงไม่ใช่บุคคลซึ่งเป็นข้าราชการ หรือมีตำแหน่งเงินเดือนประจำของกระทรวงสาธารณสุข และไม่ถือเป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐหรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐตามมาตรา 50(14) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 ในส่วนของเงินที่ได้รับ เป็นเงินค่าสนับสนุนในการปฏิบัติงานเชิงรุกของ อสม.จากทางราชการ และเป็นการชดเชยในส่วนที่ อสม.ต้องจ่ายไปในการปฏิบัติงาน เช่น
ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์และอื่นๆ รวมทั้งค่าเสียโอกาสในการหารายได้จากการประกอบอาชีพประจำมาทำงานจิตอาสา ไม่ใช่เป็นเงินเดือนประจำ ซึ่งกรม สบส.ได้ส่งข้อหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งได้พิจารณาแล้ว มีความเห็นสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกับกรม สบส.
        นอกจากนี้ นพ.ธเรศ อธิบดีกรม สบส. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอความร่วมมือ อสม. ออกรณรงค์เชิญชวนประชาชน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในชุมชนออกมาใช้สิทธิ เลือกคนดีเข้ามาบริหารท้องถิ่น และอสม.บางส่วนที่เป็นคณะกรรมการในหน่วยเลือกตั้ง ก็ควรปฏิบัติและวางตัวตามบทบาทหน้าที่ของกรรมการหน่วยเลือกตั้งอย่างเคร่งครัด และเน้นย้ำมาตรการข้อปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากโรคโควิด 19 ขณะออกมาใช้สิทธิ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา เว้นระยะห่างกับผู้อื่นอย่างน้อย 1.5 เมตร ตรวจวัดอุณหภูมิ และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ก่อนเข้าไปในที่เลือกตั้งและก่อนออกจากที่เลือกตั้ง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
*************** 26 มีนาคม 2564

ประกาศการรับสมัครสอบและประเมินความรู้ความสามารถของผู้ขอรับใบอนุญาตเป็นผู้ดำเนินการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (กิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง)

image01

ยื่นใบสมัครได้ทาง https://esta.hss.moph.go.th/register_exam/ ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564

กรม สบส.สั่งดำเนินคดี รพ.เอกชน โฆษณาจองวัคซีนโควิด 19

s__14975006

        กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประสานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร สั่งดำเนินคดีโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง โฆษณาเปิดจองวัคซีนโควิด 19 โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายสถานพยาบาล หวั่นสร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชน
        นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ด้วยรัฐบาลตั้งเป้าให้ประชาชนทุกคนได้รับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ภายในปี พ.ศ.2564 เพื่อให้ประชาชนทุกคนใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข จึงอาจมีการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง สร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชนได้ กรม สบส.ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกรม สบส.เฝ้าระวังการโฆษณา หรือประกาศที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยในช่วงวันที่ 25 มีนาคม พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อโซเชียลโดยโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรสาคร ถึงบริการรับจองฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 จึงเร่งประสานงานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) สมุทรสาครตรวจสอบข้อมูลฯ โดยจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว ไม่ได้มีการขออนุมัติโฆษณาจากผู้อนุญาต และการโฆษณาให้เข้าใจผิด ตนจึงสั่งการให้พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ ประสานงานกับ สสจ.สมุทรสาคร แจ้งให้โรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวระงับการโฆษณาแล้วในวันที่ 27 มีนาคม พร้อมกับนำเรื่องเข้าคณะกรรมการเปรียบเทียบคดี พิจารณาและดำเนินการทางกฏหมายต่อไป
        ด้านทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวต่อว่า กรม สบส.ขอเน้นย้ำให้สถานพยาบาลเอกชนทุกแห่ง ศึกษาและปฏิบัติตามประกาศ เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือประกาศเกี่ยวกับสถานพยาบาล” อย่างเคร่งครัด โดยประกาศฯกำหนดให้การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆให้ประชาชนเห็น ได้ยิน หรือทราบ ข้อความ เสียง หรือภาพ เพื่อการโฆษณาหรือประกาศอันเป็นประโยชน์ทางการค้าของสถานพยาบาล จะต้องขออนุมัติจากผู้อนุญาต คือ กรม สบส.หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเสียก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ ซึ่งการกำหนดให้ต้องขออนุมัติโฆษณาหรือประกาศที่เกี่ยวข้องกับสถานพยาบาลก่อนการเผยแพร่นั้นก็ถือว่าประโยชน์กับทั้งประชาชน และสถานพยาบาล หากโฆษณาผ่านการอนุมัติแล้วประชาชนก็จะมีความมั่นใจในการบริการของสถานพยาบาลว่ามิได้มีการโอ้อวดเกินจริง หรือหลอกลวง และสถานพยาบาลเองก็วางใจได้ว่าการโฆษณาหรือประกาศของตนนั้นถูกต้องตามกฎหมาย ปลอดปัญหาการฟ้องร้อง หรือดำเนินคดีจากเจ้าหน้าที่ อีกทั้ง วัคซีนเป็นยา โฆษณาต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงายคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งขณะนี้ทาง อย.ก็มีคำสั่งให้ระงับโฆษณาตามพระราชบัญญัติยาแล้วเช่นเดียวกัน ส่วนการโฆษณาสถานพยาบาลโดยไม่ขออนุมัตินั้น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะระงับการโฆษณา
        ทั้งนี้ หากประชาชนพบเบาะแสการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง ของสถานพยาบาลเอกชนในเขตกรุงเทพฯ สามารถแจ้งได้ทางสายด่วน กรม สบส. 1426 หรือหากอยู่ในส่วนภูมิภาคก็แจ้งได้ที่ สสจ.ในพื้นที่

กรม สบส.เผยกฎหมายใหม่กำหนด “พนักงานดูแลผู้สูงอายุ”ต้องขึ้นทะเบียนทุกราย ภายในวันที่กำหนด

caff22

        อธิบดีกรม สบส.เผยกฎหมายใหม่กำหนด “พนักงานดูแลผู้สูงอายุ”ในกิจการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการฯทุกราย คาดว่าทั้งประเทศมีผู้ทำอาชีพนี้กว่า 28,000 ราย ขณะนี้ยื่นขอขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 1,000 ราย ด้านรองอธิบดีฯ ชี้ผู้ให้บริการฯต้องขอขึ้นทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียนจบหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุฯ ก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ ต้องรีบขอขึ้นทะเบียนภายในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 หากเลยกำหนดต้องเทียบเคียงหลักสูตรหรือต้องเรียนใหม่จากสถาบันที่ได้รับการรับรองหลักสูตรจากกรม สบส.เท่านั้น เพื่อให้การปฏิบัติงานในฐานะผู้ให้บริการสามารถดำเนินการต่อไปได้

หน้าที่ 46 จาก 51

Save
Cookies user preferences
We use cookies to ensure you to get the best experience on our website. If you decline the use of cookies, this website may not function as expected.
ตกลง
ปฏิเสธ
Read more
Functional
Tools used to give you more features when navigating on the website, this can include social sharing.
AddThis
ตกลง
ปฏิเสธ
Analytics
Tools used to analyze the data to measure the effectiveness of a website and to understand how it works.
Google Analytics
ตกลง
ปฏิเสธ